4.1 ประโยค Present Perfect Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + have , has + Verb 3
( ประธาน + have , has + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง : 1. I have studied English for 5 years.( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว )
2. He has lived in Bangkok since 1990.( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
.2 ประโยค Present Perfect Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + have , has + not + Verb 3
( ประธาน + have , has + not + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง : 1. I have not studied English for 5 years.( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี )
2. He has not lived in Bangkok since 1990.( เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
3.3 ประโยค Present Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Have, Has + Subject + Verb 3 ?
(Have, Has + ประธาน + กริยาช่อง 3 ? )
ตัวอย่าง : 1.Have you studied English for 5 years ?( คุณเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้วใช่หรือไม่ )
-Yes, I have. ( ใช่ ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว )
-No, I haven’t. ( ไม่ ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี )
2. Has he lived in Bangkok since 1990 ?( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 ใช่หรือไม่ )
-Yes, he has. (ใช่ เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 )
-No, he hasn’t. ( ไม่ เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
4.4 หลักการใช้ Present Perfect Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และเหตุการณ์นั้นยังคงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
Somchai has studied English for 5 years. ( สมชายเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว ขณะนี้ก็ยังเรียนอยู่ )
I have worked in this company since 1990. ( ฉันทำงานในบริษัทนี้ตั้งแต่ปี 1990 ขณะนี้ก็ยังทำอยู่ )
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้ และมักจะมีคำวิเศษณ์ คือ ever, never, once, twice
มาใช้ร่วมเสมอ เช่น
- I have never seen him before. ( ฉันไม่เคยเห็นเข้ามาก่อน )
- Have you ever been abroad ?( คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่า )
- She has been to Bangkok twice. ( หล่อนเคยไปกรุงเทพฯ 2 ครั้ง )
4.5 กริยา 3 ช่อง
กริยา 3 ช่องมีที่มาดังนี้
1. มีรูปมาจากการเติม ed ที่ท้ายคำกริยา เช่น
ช่องที่ 1
ช่องที่ 2
ช่องที่ 3
ความหมาย
walk
walked
walked
เดิน
move
moved
moved
เคลื่อน
opened
opened
opened
เปิด
clean
cleaned
cleaned
ทำความสะอาด
2. มีรูปมาโดยการผัน ซึ่งมีการกำหนดไว้โดยเจ้าของภาษา เช่น
ช่องที่ 1
ช่องที่ 2
ช่องที่ 3
ความหมาย
see
saw
seen
เห็น
make
made
made
ทำ
speak
spoke
spoken
พูด
sell
sold
sold
ขาย
go
went
gone
ไป
5.1 ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + have , has + been + Verb 1 ing
( ประธาน + have , has + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. He has been speaking for 3 hours. ( เขาพูดมา 3 ชั่วโมงแล้ว )
2. They have been playing football for 2 hours. ( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมา 2 ชั่วโมงแล้ว )
5.2 ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + have , has + not + been + Verb 1 ing
(ประธาน+have, has+not + been+ กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. He has not been speaking for 3 hours. ( เขาพูดมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )
2. They have not been playing football for 2 hours.( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง 2 ชั่วโมง )
5.3 ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Have , Has + Subject +been + Verb 1 ing ?
(Have, Has + ประธาน + been + กริยาช่อง 1 เติม ing ?)
ตัวอย่าง : 1. Has he been speaking for 3 hours ?( เขาพูดมาตลอด 3 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )
-Yes , he has. ( ใช่ เขาพูดมาตลอด 3 ชั่วโมง )
- No, he hasn’t . ( ไม่ เขาพูดมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )
2. Have they been playing football for 2 hours ? ( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาตลอด 2 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )
- Yes, they have. ( ใช่ เขาเล่นมาตลอด 2 ชั่วโมง )
- No, they haven’t . (ไม่ เขาเล่นมาไม่ถึง 2 ชั่วโมง )
5.4 หลักการใช้ Present Perfect Progressive Tense
1. ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต (Present Perfect Progressive
Tense ใช้เหมือน Present Perfect Tense ต่างกันแต่เพียงว่า Present Perfect Progressive Tense เน้นความต่อเนื่องไปถึงอนาคต )
เช่น
Present Perfect Tense
Present Perfect Progressive Tense
He has worked for 3 hours.
He has been working for 3 hours.
ในประโยคนี้เขาทำงานมาแล้ว 3 ชั่วโมง แต่ไม่ทราบว่าจะทำต่อไปอีกหรือไม่
ในประโยคนี้เขาทำงานมาแล้ว 3 ชั่วโมง และจะทำต่อไปอีก
6.1 ประโยค Past Simple Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + Verb 2
( ประธาน + กริยาช่องที่ 2 )
ตัวอย่าง : 1.He walked to school yesterday. ( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )
2. They played volleyball last week. ( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
6.2 ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do
ช่องที่ 2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง มีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1
( ประธาน + did + not + กริยาช่องที่ 1 )
ตัวอย่าง : 1. He did not ( didn’t ) walk to school yesterday. ( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้ )
2. They did not play volleyball last week. ( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
ข้อสังเกต : เมื่อนำ did มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่ 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย
6.3 ประโยค Past Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ did มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1
( Did + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )
ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่ )
- Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา )
- No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )
2. Did they play volleyball last week ?( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่ )
- Yes, they did. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่น )
- No, they didn’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น )
6.4 หลักการใช้ Past Simple Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต ซึ่งมักจะมีคำ กลุ่มคำ หรืออนุประโยคต่อไปนี้อยู่ในประโยค
คำ
กลุ่มคำ
อนุประโยค
ago
last night
when he was young
once
last year
when he was five years old
yesterday
yesterday morning
when I lived in Tokyo
during the war
เช่น 1. I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )
2. His father died during the war. ( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )
3. He learned English when he was young. ( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก
6.5 หลักการเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love - loved = รัก
move - move = เคลื่อน
hope - hoped = หวัง
2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น
cry - cried = ร้องไห้
try - tried = พยายาม
marry - married = แต่งงาน
ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น
play - played = เล่น
stay - stayed = พัก , อาศัย
enjoy - enjoyed = สนุก
obey - obeyed = เชื่อฟัง
3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
plan - planned = วางแผน
stop - stopped = หยุด
beg - begged = ขอร้อง
4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย
occur - occurred = เกิดขึ้น
refer - referred = อ้างถึง
permit - permitted = อนุญาต
ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น
cover - covered = ปกคลุม
open - opened = เปิด
5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น
walk - walked = เดิน
start - started = เริ่ม
worked - worked = ทำงาน
7.1 ประโยค Past Progressive Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง: Subject + was , were + Verb 1 ing
( ประธาน + was , were + กริยาช่องที่ 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. I was playing football at 4 pm. yesterday.
( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )
2. She was watching TV at 6 pm. yesterday.
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )
3. They were studying English at 9 am. yesterday.
( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )
7.2 ประโยค Past Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้นำ not
มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Subject + was, were + not + Verb1 ing.
( ประธาน + was , were + not + กริยาช่องที่ 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. I was not ( wasn’t ) playing football at 4 pm. yesterday.
( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4 โมงเย็นวานนี้ )
2. She was not watching TV at 6 pm. yesterday.
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นเมื่อวานนี้ )
3. They were not (weren’t ) studying English at 9 am. yesterday.
( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าเมื่อวานนี้ )
7.3 ประโยค Past Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Was , Were + Subject + Verb 1 ing. ?
( Was , Were + ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing. ? )
ตัวอย่าง : 1. Was she watching TV at 6 pm. yesterday ?
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6 โมงเย็นวานนี้ใช่หรือไม่ )
- Yes, she was. ( ใช่หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ )
- No, she wasn’t ( ไม่หล่อนไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์ )
2. Were they studying English at 9 am. yesterday ?
(เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9 โมงเช้าวานนี้ใช่หรือไม่ )
- Yes, they were. ( ใช่เขาทั้งหลายกำลังเรียน )
- No, they weren’t. ( ไม่เขาทั้งหลายไม่ได้กำลังเรียน )
7.4 หลักการใช้ Past Progressive Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์ทีกำลังเกิดขึ้น ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น
-1. I was cleaning my room at 9 o’clock yesterday.
( ฉันกำลังทำความสะอาดห้องตอน 9 โมงเมื่อวานนี้ )
-2. They were reading newspaper at 8 o’clock yesterday.
( เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอน 8 โมงเมื่อวานนี้ )
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต กล่าวคือ มีเหตุการณ์อันหนึ่งเกิดขึ้นและกำลังดำเนินไปอยู่ก่อนและแล้วมีเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นมา มีหลักการแต่งประโยคดังนี้
เหตุการณ์ที่เกิดอยู่ก่อน ใช้ Past Progressive Tense
เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple Tense
เช่น- 1. While he was walking along the street , he saw an accident.
( ขณะที่เขากำลังเดินไปตามถนนเขาเห็นอุบัติเหตุ )
-2. I was taking a bath when the telephone rang.
( ฉันกำลังอาบน้ำอยู่เมื่อโทรศัพท์มันดัง )
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมกันในอดีต เช่น
-1. My mother was cooking while I was watching TV.
( แม่ของฉันกำลังทำอาหารในขณะที่ฉันกำลังดูโทรทัศน์ )
2. He was standing while she was sitting.
( เขากำลังยืนในขณะที่หล่อนกำลังนั่ง )
8.1 ประโยค Past Perfect Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + had + verb 3
( ประธาน + had + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง : 1. He had gone. ( เขาได้ไปแล้ว )
2. She had studied Thai. ( หล่อนได้เรียนภาษาไทย )
8.2 ประโยค Past Perfect Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not
หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + had + not + Verb 3
( ประธาน + had + not + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง : 1. He had not (hadn’t ) gone. ( เขายังไม่ได้ไป )
2. She had not studied Thai. ( หล่อนยังไม่ได้เรียนภาษาไทย )
8.3 ประโยค Past Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำ Verb to have
มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Had + Subject + Verb 3 ?
(Had + ประธาน + กริยาช่อง 3 ? )
ตัวอย่าง : 1. Had he gone ? ( เขาได้ไปแล้วใช่หรือไม่ )
-Yes, he had. ( ใช่เขาได้ไปแล้ว )
-No, he hadn’t. ( ไม่เขายังไม่ได้ไป )
2. Had she studied Thai ? ( หล่อนได้เรียนภาษาไทยแล้วใช่หรือไม่ )
- Yes, she had. ( ใช่หล่อนได้เรียนแล้ว )
- No, she hadn’t. ( ไม่ หล่อนยังไม่ได้เรียน
8.4 หลักการใช้ Past Perfect Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง 2 เหตุการณ์ ดังนี้
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Past Perfect Tense
เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้ Past Simple Tense
เช่น - We went out for a walk after we had eaten dinner.
( พวกเราออกไปเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหารเย็น )
9.1 ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + had + been + Verb 1 ing
( ประธาน + had + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. They had been playing football for three hours.( เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลโดยไม่หยุดมา3 ชั่วโมงแล้ว )
2. It had been raining for five hours.( ฝนได้ตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว )
9.2 ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not
หลัง Verb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + had + not + been + Verb 1 ing
(ประธาน + had + not + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. They had not ( hadn’t ) been playing football for three hours.
( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )
2. It had not been raining for five hours.
( ฝนตกมาไม่ถึง 5 ชั่วโมง )
9.3 ประโยค Past Perfect Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถาม
ให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Had + Subject + been + Verb 1 ing ?
( Had + ประธาน + been + กริยาช่อง 1 เติม ing ? )
ตัวอย่าง :1. Has they been playing football for three hours ?
( เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลมาตลอด 3 ชั่วโมงใช่หรือไม่ )
-Yes, they had. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่นมา 3 ชั่วโมงแล้ว )
-No, they hadn’t.( ไม่ เขาทั้งหลายเล่นมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )
2. Had it been raining for five hours ?
( ฝนตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้วใช่หรือไม่ )
- Yes, it had. ( ใช่มันตกมา 5 ชั่วโมงแล้ว )
- No, it hadn’t. ( ไม่ใช่มันตกมาไม่ถึง 5 ชั่วโมง )
9.4 หลักการใช้ Past Perfect Progressive Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง 2 เหตุการณ์ ดังนี้
- เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Past Perfect Progressive Tense
- เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้ Past Simple Tense
เช่น
1. He had been sleeping for 30 minutes before we woke him up.
( เขาได้นอนหลับมา 30 นาทีก่อนที่เราจะปลุกเขา )
2. He sat down after he had been playing football for an hour.
( เขานั่งพักหลังจากได้เล่นฟุตบอลมา 1 ชั่วโมง )
10.1 ประโยค Future Simple Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + will, shall + verb 1
( ประธาน + will , shall + กริยาช่อง 1 )
ตัวอย่าง : 1. I shall go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )
2. She will study Spanish next week. ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )
10.2 ประโยค Future Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + will, shall + not + verb 1
( ประธาน + will , shall + not + กริยาช่อง 1 )
ตัวอย่าง : 1. I shall not ( shan’t ) go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไม่ไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ )
2. She will not ( won’t ) study Spanish next week. ( หล่อนจะไม่เรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า )
10.3 ประโยค Future Simple Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Will,Shall + Subject + verb 1 ?
( Will, Shall + ประธาน + กริยาช่อง 1 ? )
ตัวอย่าง : 1. Shall you go to Chiang mai tomorrow ? ( คุณจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ )
Yes, I shall. ( ใช่ฉันจะไป )
No, I shan’t. ( ไม่ฉันจะไม่ไป )
2. Will she study Spanish next week ? ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้าใช่หรือไม่ )
- Yes, she will. ( ใช่หล่อนจะเรียน )
- No, she won’t. ( ไม่หล่อนจะไม่เรียน )
10.4 หลักการใช้ Future Simple Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เช่น My father will go to America next month. ( พ่อของฉันจะไปอเมริกาเดือนหน้า )
I shall play football tomorrow afternoon.( ฉันจะเล่นฟุตบอลบ่ายวันพรุ่งนี้
11.1 ประโยค Future Progressive Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + be + verb 1. ing
( ประธาน + will ,shall + be + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. She will be playing tennis.( หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่ )
2. They will be cooking.( เขาทั้งหลายจะกำลังทำอาหารอยู่ )
11.2 ประโยค Future Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + not + be + verb 1. ing
(ประธาน + will ,shall + not + be + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. She will not ( won’t ) be playing tennis.( หล่อนจะไม่กำลังเล่นเทนนิสอยู่ )
2. They will not ( won’t ) be cooking.( เขาทั้งหลายจะไม่กำลังทำอาหารอยู่ )
11.3 ประโยค Future Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Will , Shall + Subject + be + verb 1 ing ?
( Will , Shall + ประธาน + be + กริยาช่อง 1 เติม ing ? )
ตัวอย่าง : 1. Will she be playing tennis ?( หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่ )
Yes, she will. ( ใช่ หล่อนจะเล่นอยู่ )
No, she won’t. ( ไม่ หล่อนจะไม่เล่นอยู่ )
2. Will they be cooking ?( เขาทั้งหลายจะกำลังทำอาหารอยู่ใช่หรือไม่ )
Yes, they will. ( ใช่เขาทั้งหลายจะทำอยู่ )
No, they won’t. ( ไม่ใช่เขาทั้งหลายจะไม่ทำอยู่ )
11.4 หลักการใช้ Future Progressive Tense
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนหลังกันในอนาคต ดังนี้
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Progressive Tense
เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense
เช่น 1. He will be reading when I visit him.( เขาจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อผมไปเยี่ยมเขา )
2. I shall be watching TV when he arrives.( ฉันจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อเขามาถึง )
12.1 ประโยค Future Perfect Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + have + verb 3
( ประธาน + will ,shall + have + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง : 1. She will have gone.( หล่อนคงจะไปแล้ว )
2. They will have cooked.( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารแล้ว )
12.2 ประโยค Future Perfect Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + not + have + verb 3
( ประธาน + will ,shall + not + have + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง : 1. She will not ( won’t ) have gone.( หล่อนคงจะไม่ไปแล้ว )
2. They will not have cooked.( เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำอาหารแล้ว )
12.3 ประโยค Future Perfect Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Will , Shall + Subject + have + verb 3 ?
( Will , Shall + ประธาน + have + กริยาช่อง 3 ? )
ตัวอย่าง : 1. Will she have gone ?( หล่อนคงจะไปแล้ว ใช่หรือไม่ )
- Yes, she will. ( ใช่ หล่อนคงจะไปแล้ว )
- No, she won't. ( ไม่ หล่อนคงจะไม่ไป )
2. Will they have cooked ?( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารแล้วใช่หรือไม่ )
- Yes, they will. ( ใช่ เขาทั้งหลายคงจะทำแล้ว )
- No, they won't . ( ไม่ เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำ )
12.4 หลักการใช้ Future Perfect Tense
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต ดังนี้
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Perfect Tense
เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense
เช่น 1. The film will have started before we reach the theater.
( ภาพยนต์คงจะเริ่มฉายก่อนที่พวกเราจะไปถึง )
2. I will have left home when he arrives tomorrow.
( ฉันคงจะออกจากบ้านไปแล้ว เมื่อเขามาถึงวันพรุ่งนี้ )
13.1 ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง : Subject + will, shall + have + been + verb 1. ing
(ประธาน+ will shall +have +been + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. She will have been playing tennis.( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ )
2. They will have been cooking.( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่ )
13.2 ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not+ หลัง will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + not +have + been +verb 1. ing
(ประธาน + will , shall + not + have + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. She will not ( won’t ) have been playing tennis.( หล่อนคงจะไม่เล่นเทนนิสอยู่ )
2. They will not have been cooking.( เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำอาหารอยู่ )
13.3 ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will
หรือ shall มาวางไว้หน้าประโ ยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Will , Shall + Subject + have + been + verb 1. ing ?
( Will ,Shall +ประธาน + have + been + กริยาช่อง1 เติม ing )
ตัวอย่าง : 1. Will she have been playing tennis ?( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่ )
Yes, she will. ( ใช่ หล่อนคงจะเล่นอยู่ )
No, she won’t . ( ไม่ หล่อนคงจะไม่เล่นอยู่ )
2. Will they have been cooking ?( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่ใช่หรือไม่ )
Yes, they will. ( ใช่ เขาทั้งหลายคงจะทำอยู่ )
No, they won’t . ( ไม่ เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำอยู่ )
13.4 หลักการใช้ Future Perfect Progressive Tense
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนหลังกันในอนาคตแต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำ ดังนี้
- เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Future Perfect Progressive Tense
- เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้ Present Simple Tense
เช่น 1. He will have been reading for two hours when I visit him.
( เขาคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว เมื่อผมไปเยี่ยมเขา )
2. I shall have been watching TV for an hour when he arrives.
( ฉันคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา 1 ชั่วโทงแล้ว เมื่อเขามาถึง )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น